หน้าเว็บ

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เสียค่าโง่ไป

วันนี้มีเรื่องจะเม้าครับ! เรื่องมันเกินขึ้นไม่กี่ชมก่อนหน้านี้เอง สำหรับคนที่อยากจะจดโดเมนหรือเช่าโฮทเพื่อทำเว็บไซด์ของตัวเองแล้วหละก็ ฟังเรื่องของผมไว้เป็นอุทาหรณ์แล้วกัน ครับ

วันนี้ผมไปจดโมนเมนมา ปกติแล้วราคาประมาณ 14 เหรียญ แต่พออ่านกระทู้ไปเรื่อยๆแล้วก็เจอวิธีจดโดเมนที่ถูกลงโดยการใช้คูปองราคามันเลยลดหลือแค่0.99. เหรียญครับ โคตรจะลดเลย แต่อยู่ได้หนึ่งปีนะครับ เพิ่งเริ่มสมัครไปวันนี่เอง

ต่อมาเมื่อมีโดเมนแล้วก็ต้องมีที่เก็บเนื้อมาหรือที่เรียกว่าโฮทติ้ง อันนี่จะแพงกว่านิดหน่อย เลือกเป็นจ่ายรายเดือนหรือจ่ายรายปีก็ได้ ไอ้ตัวนี้แหละที่ผมเจ็บใจ ผมซัดไปซะรายสามปี โอ้แม่เจ้า โดนไป 280 เหรียญ ตอนนี้มันออกอินวอยมาให้เรียบร้อยแล้วถึงบ้านเลยโดนแม่ด่าแน่ๆ ฮ่าๆ 

ตอนนี้ลองส่งเมลไปหาเจ้าของโฮทอยู่ให้เค้ายกเลิก จริงๆไม่ได้อยากได้รายสามปี ไม่มีตังจ่ายหรอก อยากได้เป็นรายเดือนมากว่าเพราะ ยังทำเว็บไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ผมต้องรอลุ้น วันพรุ้งนี่เช้าว่า support มันจะตอบมาว่าไง พุ้งนี้จะมาเล่าต่อ ฝันดีครับ!

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Drunken

I was drinking with mr colleague. We week talking about out lady boss. He is freaking crazy now ever my can't control her. Oh hit what can I do tomorrow then. Hope you a better bios . 

She was suck a stupid boss. She want anything right now but we can't provide. She also is acrylic with everyone about freaking document. I'm ok with her but don't be crazy like this anymore. 


วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันนี้คุณทำอะไร?

ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำอะไร แม้ว่าวันนี้เป้าของเรายังไม่สำเร็จ หลายคนกำลังได้รับประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด จนอาจเกิดการท้อใจแล้วล่ะก็ ผมอยากจะนำบทความด้านล่างนี้มอบให้เป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆพี่ๆทุกคน เพื่อที่ว่าในปีหน้านี้ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหากัีบชีวิต ก็ขอให้นึกถึงเรื่องราวข้างล่างนี้นะครับ จะได้มีแฮงใจ๋ สูกันต่อไป



เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 

1 ปี เท่ากับ 365 วันแสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์ 

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกาแทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก 

เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก หากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟังหนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอกพื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป 

โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี 

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วันนั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะอาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย 

คิดแบบนี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ เพราะนี่คือวันเสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก 

นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืนวันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...คำนวณเองบ้างซิว้อย!!! 

เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี 

แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน 

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่าเพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี 

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเองเหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน 

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!! 

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลยบอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี 

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ 

ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว...เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ 

ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตายแต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้ 

เคยสงสัยมั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่างและตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว 

และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตายวันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา 

ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้วทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง 

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว 

ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรานุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล 

Credit : http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=20605.0;wap2

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Changing Life : University Life.

Before I start, I would like to say that I have not written a proper one using alphabets since I was a college sophomore. I was quite crazy about writing at that time because I was studying articles, poems and proses as part of my English Language major. All the effort put into mastering the language only got me a Grade B, which would not have been the case if I was studying Thai! Haha… I created 10 short stories which can be found here within one school term. Some may think of them as nothing fantastic, but I must say, they were one of my few best works.



Well, let’s get into my story now… It all began when I started my first job. I had finished university late by one term due to many reasons (friends, alcohol girls, games…), which resulted in me getting an F for English Journalism.

Upon completion of my last semester, I was given the opportunity to work with the same foundation that I was attached to for my internship. I was a translator for overseas students. A salary was given to me, but it was regarded as a “service charge”. The strange irony is that my current job does not pay as well as they did! Anyway, my ex-colleagues and the foundation president drank every weekend. Although one would classify them as drunks, their work ethics and quality were impeccable. I was with them for 10 weeks or 3 months until the project was finished. It was at that moment when I knew I had to find a real job. The president offered me the advice of working in the capital city of Bangkok, where I would attain ample work exposure, and wished me all the best.


The following month, this country boy moved to Bangkok. Even though I was not exactly sure why I was there, fortunately, my cousins from my mother’s side were also stationed in the big city. A month passed but I found myself stuck at home playing game. Feeling my life drain away, I told myself that it was time to secure a job immediately. However, I did not know how to go about doing so. I started calling friends up and discovered that many of them were already working in the capital. I learnt how to prepare a formal resume and submitted it online. A few days later, I received a call for a job offer at a cafeteria but I did not expect what it would have eventually entailed.




Changing Life : City Life

My lifestyle had to be amended: I could not wake up late and be lazy anymore. It was better to be early for work than to report late, so I started the habit of getting up at 5.30am, doing my bathroom routine and running to catch the bus. If one was to wake up just slightly late (let’s say after 6.00am), it would be wiser to walk to work since that would be faster and money is saved! Haha…



The HR manager informed me that I have been assigned the supervisor position. It may seem like I was a little boss but actually, I became a slave to my guys! Haha… Why was that so, you wonder? Well, if any of them took leave, I had to step in anytime! When the chef did not turn up for work, I had to pacify customers and pretend that our dishes were sold out. We could only serve omelettes for breakfast since that was all I knew how to make! Haha…

There was a sentence that my boss would always say when I got disheartened, "your position needs to be able to do everything, then you will teach yourself new things." It had been the third month but I had not seen anything new. Only I was the newest.

I received a measly pay for the job. While I managed well, it was rather tough to save much since Bangkok was a relatively pricey city to live in. I was indeed fortunate to have free accommodation and food. During months when my budget got too tight, I became a professional James Bond: I would secretly take some meat from the kitchen at my workplace while hiding from strategically installed surveillance camera. Haha… Those were the days… All of us were skilled in this especially during the last week prior to payday.

My last position before resigning was a chef. “So cool”… I was in the service line for almost a year. Many things I learnt; many friends I made, most of whom were from neighbouring countries such as Cambodia, Laos and Myanmar. Just a few months back, I was invited to the wedding of my friend’s sister, which was held in Cambodia. Cans of beer were served at the function, rather than the usual bottles of whisky or beer that we normally had in Thailand. How interesting!


In the service industry, we could not expect to have a day off on a weekend for sure. On those when my friends organised to meet up, I was the first to turn them down. It was only on rare occasions that I could catch up with my friends. The service job also required me to stand for long hours. Even when there were no customers, we were told not to sit down. I decided to resign on the pretext of the classic reason: “I miss my hometown”.

I secured a new job one week after I left. It was an office job where I only had to pick up incoming phone calls. It seemed like a career in a call centre environment but the only language conversed was English. The job paid well. Skeptical thoughts began to surface in my head; I wondered why I was only required to do such simple tasks, until I realised that the job involved night shifts as well. In spite like this, I reasoned to myself that this was the usual requirements of a call centre since customers had to be serviced 24 hours a day, and this job was much better than the last!

I managed to save some money preceding my resignation. I could only last for four months... My eyes were turning puffy and black like a panda due to the abnormal working hours! Haha… I knew that I could not stay unemployed for too long in a city like Bangkok. However, one day during lunchtime, I received a call from a friend. He was finding someone to drink with… Not! He knew of a job opening in Chonburi, a city about an hour’s drive from Bangkok. I went for an interview with the company, but at the back of my mind, I had just wanted to meet my friend. It turned out that the HR person in charge wanted me to start work on the following Monday if I was available. My life required a second change when I had to move there.



Changing Life : Worthy Life


I moved to Chonburi and stayed with my friend. Let’s give him an alias “Tai” so as to protect his identity. Tai is a normal salary man. Even though he does his daily work, he is different from others: he drinks, smokes, complains excessively, has a testy and erratic behaviour and even enjoys chastising dogs! He never thinks of himself as being in the wrong. My parents are the wrongdoers, he would proclaim, but he forgets that they gave him life!

The average salary man is always worried about money to make ends meet. This issue never once bothered Tai. He would finish his salary within the first week of payday. I have not heard him grumble about it before. It got me wondering, why do people keep complaining? It seems like thinking positive would make it much easier to lead life…

Tai owns a blue car. His transportation means takes him to only two places: the office and the pub. Majority of his time is spent at either one of those locations or in his room (due to a bad hangover). Tai has a bad habit of flaunting his money especially when he is drunk. Due to the frequency of his drinking, he gradually built good rapport with private taxi drivers so they would ferry him around (to continue drinking). Never once do they reject Tai’s calls even in the wee hours; he gives them big tips. Sometimes, the drivers are unable to meet his requests on the places he wants to go to, so he would ask to be driven to the airport.

During one of our drinking episodes one day, Tai persuaded me to take a plane to Kao Samui (till today, I still have no idea why we went there!). The flight was at 5.00am and the journey took 50 minutes. In his drunken state, Tai thought of himself as having consciousness. He decided not to travel if he rented a room, so he rested in a car I recognised as a Vios. I drove around Kao Samui while he slept. My HR colleague called me, which was a situation I expected since I had only taken leave for the day before. Tai’s HR colleague tried to reach him as well, but I knew that he had the intention of resigning from his job. However, Tai had recognition for his excellent accounting skill, so his boss begged him to return to work. He changed his mind and decided to go back, but we had run out of money for the return tickets. We had to take a bus instead. I remember the moment when we were on the top deck of the ferry, smoking. That one scenery was my favourite from this trip.

Anyone who spends time with Tai will know how to have a good time. Sleeping hours are never meant for that purpose. You are never punctual for work. On the hindsight, it was a miracle that he managed tolast this long with a job! Well, it was probably because of his accounting skills… Tai knew whom and when he borrowed money but sometimes, he forgets when he needs to pay back. Haha…

He had an argument with a colleague recently and has moved back to his hometown last week. I continue to be concerned about him. Everyone has advised on how he should socialise with people but he never listens. He has never changed, but he is a smart man. I do not worry about his career or money, but his health. We can help him out during tough times, whether it is with monetary or wisdom, but we are unable to give him good health.


Now, it is time for my third change. For Tai though, it may be change number 10, but he is still the same. Please keep in mind of your past experience, Tai. Good luck to you, my friend!